วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ใบงานที่ 6 คำกำจัดความ

คำกำจัดความ


1. IEEE 802 (Institute of Electrical and Electronics Engineers) 
                คือ องค์กรที่ได้สร้างมาตรฐานสากลมากมายทางด้วยวิศวกรรมไฟฟ้าแล้วคอมพิวเตอร์ ได้กำหนดมาตรฐานระบบเครือข่ายไว้จำนวนหนึ่ง   เป็นที่รู้จักกันในกลุ่มหมายเลข IEEE ได้รับการยอมรับจากองค์กรควบคุมมาตรฐาน ได้แก่ ANSI และ ISO


2. WEP(Wired Equivalent Privacy) เป็นการเข้าและถอดรหัสข้อมูล (WEP Encryption/Decryption)สำหรับ Security ใน Layer 2(Data Link) ของ OSI Model (Open System interconnection Model) ไม่ให้คนอื่นเข้ามาใช้ทรัพยากรของเราที่กระจายในอากาศWEP Encryption 

 3. WEP คือ.บริการ Wi - Fi ป้องกันการเข้าถึง   เทคโนโลยีที่ถูกออกแบบมาเพื่อทำงานร่วมกับผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ Wi - Fi ที่มีการใช้งานกับ WEP (เช่นเป็น ซอฟต์แวร์อัพเกรดที่มีอยู่ใน ฮาร์ดแวร์ ) แต่เทคโนโลยีที่รวมสองการปรับปรุงมากกว่า WEP :
ข้อมูลที่ดีขึ้น การเข้ารหัส ผ่านโปรโตคอลสมบูรณ์ชั่วคราวคีย์ (TKIP) TKIP scrambles ปุ่มใช้ hashing ขั้นตอนวิธีการ และโดยการเพิ่มคุณสมบัติการตรวจสอบความสมบูรณ์เพื่อให้มั่นใจว่ากุญแจสวรรค์? t? รับการดัดแปลงด้วย ผู้ ตรวจสอบ ซึ่งโดยทั่วไปที่ขาดหายไปใน WEP ผ่าน โปรโตคอลการตรวจสอบขยาย(EAP) WEP ควบคุมการเข้าถึงเครือข่ายไร้สายขึ้นอยู่กับคอมพิวเตอร์ได้หรือไม่มาเฉพาะฮาร์ดแวร์ ที่อยู่ MAC ซึ่งง่ายที่จะ isrelatively sniffed ออกและถูกขโมย EAP ถูกสร้างขึ้นบนความปลอดภัยมากขึ้นระบบการเข้ารหัสคีย์สาธารณะเพื่อให้แน่ใจว่าเฉพาะผู้ใช้เครือข่ายที่ได้รับอนุญาตสามารถเข้าถึงเครือข่ายมันควรจะสังเกตที่ WPA เป็นมาตรฐานระหว่างกาลที่จะถูกแทนที่ด้วย มาตรฐาน IEEE ?มาตรฐาน 802.11i เมื่อเสร็จสิ้นของมัน 

4. Access Point หรือเรียกกันสั้นๆ ว่าAP (เอ-พี) ซึ่งจะทำหน้าที่เป็น จุดกระจายและเชื่อมต่อสัญญาณ ไร้สาย เพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์ไร้สายทุกชนิด (ที่ทำงานภายใต้มาตรฐานของ IEEE802.11) เข้าด้วยกัน นอกจากจะทำหน้าที่เป็น Access Point แล้ว AP ที่ดียังสามารถทำหน้าที่อื่นๆ เพื่อช่วยให้ระบบเครือข่ายไร้สายตอบสนองความต้องการของคุณได้อย่างถึงขีดสุด หน้าที่ต่างๆ ของ AP ที่ดี ที่จะช่วยสร้างระบบเครือข่ายไร้สายของคุณให้ทรงประสิทธิภาพสูงสุดอย่างแท้จริง

5. CDMA  คือ รหัสกอง Multiple Access (การส่งผ่านเสียง / ข้อมูล)CDMA ย่อมาจาก Code Division Multiple Access  เป็นการมัลติเพล็ก สัญญาณข่าวสารต่าง ที่เราใช้ติดต่อกัน ให้ไปกับคลื่นพาห์ แบบการเข้ารหัสหรือการเข้าโค๊ดนั่นเองครับ  ซึ่งจะแตกต่าง จากระบบ GSM (Global System for Mobile Communications)ซึ่งจะใช้การ มัลติเพล็ก หรือ มอดูเลต สัญญาณข่าวสาร ต่างๆ ให้ไปกับคลื่นพาห์ แบบ TDMA (Time Division Multiple Access)   การมัลติเพล็กแบบแบ่งช่วงเวลา    และ FDMA (Frequency Division Multiple Access) การมัลติเพล็กแบบแบ่งช่วงความถี่  
            ซึ่งตัวเครื่อง หรืออุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ของทั้งสองระบบ นี้จะถูกออกแบบ มาต่างกัน ซิมการ์ดก็จำเป็นที่จะต้องใช้ ให้ถูกกับระบบของตัวเครื่อง เนื่องจากในการลงทะเบียนการใช้งานแต่ละครั้งข้อมูลต่างๆในซิมการ์ดจะต้อง ถูกยืนยันให้ตรงกับข้อมูลที่ถูกเก็บในฐานข้อมูลของเครือข่าย ถึงจะอนุญาตให้ผู้ใช้นั้นใช้งานได้
   ซิมการ์ดที่ใช้ได้ ในระบบ CDMA ก็คือ HUTCH และ CAT CDMA ของ CAT Telecom หรือ กสท โทรคมนาคม 

6. SSID ย่อมาจาก Sub Station IDentifier  ในโปรโตคอล AX.25 นั้นได้กำหนดให้มีขนาด 4บิต หรือเท่ากับ 24 มีค่าเท่ากับ 16ค่า คือค่า 0-15 โดยถูกใช้เพื่อแสดงไอคอน หรือแสดงสถานะของสถานีว่าเป็นอะไร ในโปรโตคอล AX.25 แต่ในระบบ APRS แล้วมีการระบุสัญลักษณ์ไอคอนแทรกส่งไปด้วย ผู้ใช้งานทั้งหลายจึงสนใจไอคอนของโปรโตคอล APRS มากกว่าหมายเลข SSID จึงทำให้หลายท่านใช้หมายเลข SSID มั่วไม่ตรงตามข้อกำหนดการใช้ SSID ของโปรโตคอล AX2.5 ซึ่งได้กำหนดไว้ดังต่อไปนี้

7. MAC address filteringMAC address ทำหน้าที่เสมือนเลขประจำตัวของอุปกรณ์ network ต่างๆ ซึ่งจะไม่ซ้ำกันเลย ดังนั้นการที่เราสามารถที่จะกำหนดให้แค่เครื่องคอมพิวเตอร์ของเราเท่านั้น ที่สามารถเข้าสู่ network ของเราได้ ก็ย่อมจะทำให้ระบบ Wireless LAN ของเราปลอดภัยขึ้นอีกขั้นหนึ่ง

8. "Broadband" เป็นคำศัพท์เฉพาะที่ใช้ทั่วไปในการกล่าวถึงการติดต่อผ่านเครือข่ายความเร็วสูง ในที่นี้จะหมายถึงการติดต่ออินเทอร์เน็ตผ่านทางเคเบิลโมเด็มและสายชนิด Digital Subscriber Line (DSL) ซึ่งนิยมเรียกว่าการติดต่ออินเทอร์เน็ตแบบ broadband โดยมีค่า "Bandwidth" จะเป็นค่าที่อธิบายถึงความเร็วสัมพัทธ์ในการติดต่อกับเครือข่าย เช่น การติดต่อผ่านโมเด็มโดยการ dial-up ที่ใช้งานทั่วไปในปัจจุบันทำงานมีค่า bandwidth 56 กิโลบิตต่อวินาที
 (kbps (103)) ไม่มีการกำหนดค่าที่แน่นอนไว้ว่า การติดต่อแบบ broadband จะต้องมีค่า bandwidth เท่าใด แต่โดยทั่วไปแล้วจะใช้ค่าประมาณ เมกกะบิตต่อวินาที (Mbps (106)) ขึ้นไป

9. Bandwidth (แบนด์วิดท์) คือ คำที่ใช้วัดความเร็วในการส่งข้อมูลของอินเทอร์เน็ต ซึ่งโดยมากเรามักวัดความเร็วของการส่งข้อมูลเป็น bps (bit per second) , Mbp (bps*1000000) เช่น Bandwidth ของการใช้สายโทรศัพท์ในประเทศไทย เท่ากับ 14.4 Kbps,Bandwidth ของสายส่งข้อมูลของ KSC ที่ใช้ในการเชื่อมต่อกับอเมริกาเท่ากับ 2 Mbps เป็นต้น

10. (DHCP) Dynamic Host Configuration Protocol เป็นโปรโตคอลที่ให้ผู้บริหารเครือข่ายจัดการส่วนกลางและกำหนด Internet Protocol address โดยอัตโนมัติในเครือข่าย การใช้กลุ่มอินเตอร์เน็ตของโปรโตคอล (TCP/IP) แต่ละเครื่องสามารถเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตโดยต้องการ IP address แบบไม่ซ้ำ เมื่อมีการติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ให้ผู้ใช้เชื่อมเข้ากับอินเตอร์เน็ต จะต้องกำหนด IP address ให้แต่ละเครื่อง ถ้าไม่ใช้ DHCP การกำหนด IP address ต้องป้อนเข้าเอง รวมถึงเมื่อมีการย้ายตำแหน่งไปยังส่วนอื่นของเครือข่ายก็จะต้องป้อน IP address ใหม่ DHCP จะให้ผู้บริหารเครือข่ายดูแลและกระจาย IP address จากจุดศูนย์กลางและส่ง IP address อย่างอัตโนมัติเมื่อการต่อเครื่องใหม่เข้าสู่เครือข่าย แนวคิดของ DHCP ใช้แนวคิดของการเช่าหรือเวลารวม ซึ่งจะให้ IP address เฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่การเช่าเวลาสามารถแปรเปลี่ยน โดยขึ้นต่อการที่ผู้ใช้ต้องติดต่อกับอินเตอร์เน็ตในพื้นที่เฉพาะ DHCP มีประโยชน์กับองค์กรที่มีการเปลี่ยนแปลงผู้ใช้ การใช้ในเวลาหรือการเช่าสั้น นอกจากนี้ DHCP จะทำการคอนฟิกเครือข่ายใหม่ ถ้ามีคอมพิวเตอร์มากกว่า IP address ที่มีให้ 

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ใบงานที่ 5

IP Address คือหมายเลขประจำเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งประกอบด้วยตัวเลข 4 ชุด มีเครื่องหมายจุดขั้นระหว่างชุด
IP Addressที่ใช้กันอยู่นี้เป็น ตัวเลขไบนารีขนาด 32 บิตหรือ 4 ไบต์
11101001/ 11000110/ 00000010/ 01110100
      แต่เมื่อต้องการเรียกIP Address จะเรียกแบบไบนารีคงไม่สะดวก จึงแปลงเลขBinary หรือเลขฐานสองแต่ละไบต์ ( 8 บิต ) ให้เป็นตัวเลขฐานสิบโดยมีจุดคั่น
11101001 11000110 00000010 01110100 
158    . 108    . 2    . 71

              เมื่อตัวเลขIP Addressจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับกำหนดให้กับเครื่อง และอินเทอร์เน็ตเติบโตรวดเร็วมาก เป็นผลทำให้IP Addressเริ่มหายากขึ้น
              การสื่อสารและรับส่งข้อมูลในระบบ Internet สิ่งสำคัญคือที่อยู่ของคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่อง ดังนั้นเพื่อให้เกิดความถูกต้องแม่นยำ จึ่ง ได้มีการกำหนดหมายเลขประจำเครื่องที่เราเรียกว่า IP Address และเพื่อไม่ให้เกิดความสับสนและซ้ำกัน จึงได้มีการก่อตั้งองค์กรเพื่อ แจกจ่าย IP Address โดยเฉพาะ ชื่อองค์กรว่า InterNIC (International Network Information Center) อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา การแจกจ่ายนั้นทาง InterNIC จะแจกจ่ายเฉพาะ Network Address ให้แต่ละเครือข่าย ส่วนลูกข่ายของเครือง ทางเครือข่ายนั้นก็จะเป็น ผู้แจกจ่ายอีกทอดหนึ่ง ดังนั้นพอสรุปได้ว่า IP Address จะประกอบด้วยตัวเลข 2 ส่วน คือ
1. Network Address 
2. Computer Address
การแบ่งขนาดของเครือข่าย
เราสามารถแบ่งขนาดของการแจกจ่าย Network Address ได้ 3 ขนาดคือ 
Class A nnn.ccc.ccc.ccc (nnn ชุดแรก ตัวเลขอยู่ระหว่าง 1-126) 
เครือข่าย Class A สามารถแจกจ่าย IP Address ได้มากที่สุดถึง 16 ล้านหมายเลข 
Class B nnn.nnn.ccc.ccc (nnn ชุดแรก ตัวเลขอยู่ระหว่าง 128-191) 
เครือข่าย Class A สามารถแจกจ่าย IP Address ได้มากเป็นอันดับสอง คือ 65,000 หมายเลข 
Class c nnn.nnn.nnn.ccc (nnn ชุดแรก ตัวเลขอยู่ระหว่าง 192-233) 
เครือข่าย Class A สามารถแจกจ่าย IP Address ได้น้อยที่สุด คือ 256 หมายเลข 
nnn หมายถึง Network Address ccc หมายถึง Computer Address

วันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ใบงานที่ 4

ความแตกต่างระหว่าง  Ethernet,Internet,Exteanet



1.  Ethernet
         เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่พัฒนามาจากโครงสร้างการเชื่อมต่อแบบสายสัญญาณร่วม ที่เรียกว่า บัส (bus) คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องต่อเชื่อมเข้ากับสาบสัญญาณเส้นเดียวกัน การสื่อสารข้อมูลสามารถสื่อสารจากเครื่องหนึ่งไปยังเครื่องใดก็ได้
อีเทอร์เน็ต (ethernet)
         เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่พัฒนามาจากโครงสร้างการเชื่อมต่อแบบสายสัญญาณร่วม ที่เรียกว่า บัส (bus) คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องต่อเชื่อมเข้ากับสาบสัญญาณเส้นเดียวกัน การสื่อสารข้อมูลสามารถสื่อสารจากเครื่องหนึ่งไปยังเครื่องใดก็ได้
         การสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์จะเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ซ้ำกัน เช่น จากเครื่องคอมพิวเตอร์ A ต้องการส่งสัญญาณข้อมูลให้เครื่องคอมพิวเตอร์ D ก็จะส่งข้อมูลมาหนึ่งชุดแล้วหยุด หลังจากนั้นเครื่องอื่นจะทำการรับส่งบ้างก็ได้ แต่หากมีสัญญาณข้อมูลที่ส่งมาพร้อมกัน มากกว่าหนึ่งสถานี ข้อมูลชุดที่ส่งช้ากว่าจะได้รับการยกเลิกและจะต้องหาเลาส่งกันใหม่
การเชื่อมต่อแบบอีเทอร์เน็ตในยุคเริ่มแรก ใช้สายสัญญาณแบบแกนร่วมที่เรียกว่าสายโคแอกเชียล (coaxial cable) เป็นสายสัญญาณที่รับส่งข้อมูลได้ดี ต่อมามีผู้พัฒนาระบบการรับส่งสัญญาณผ่านอุปกรณ์กลางที่เรียกว่า ฮับ (hub) และเรียกว่าระบบใหม่นี้ว่า เทนเบสที (10 base t) โดยใช้สายสัญญาณที่มีขนาดเล็กและราคาถูก เรียกว่า สายคู่บิตเกลียวชนิดไม่หุ้มฉนวน (unshielded twisted pair : UTP) การเชื่อมต่อเครือข่ายแบบนี้จึงมีลักษณะเป็นแบบดาว
ภายในฮับมีลักษณะเป็นบัสที่เชื่อมสายทุกเส้นเข้าด้วยกัน ดังนั้นการใช้ฮับและบัสจะมีระบบการส่งข้อมูลแบบเดียวกัน และมีการพัฒนาให้เป็นมาตรฐาน กำหนดชื่อมาตรฐานนี้ว่า 802.3 ความเร็วของการรับส่งสัญญาณตามมาตรฐานนี้กำหนดไว้ที่ 10 ล้านบิตต่อวินาที และกำลังมีมาตรฐานใหม่ให้สามารถรับส่งสัญญาณได้ถึง 100 ล้านบิตต่อวินาที
หลักการและโครงสร้างของ Ethernet

        หลักการและโครงสร้างของ Ethernet รูปแบบของ Ethernet นั้นได้กำหนดมาตรฐานของความยาวของบัส ไว้สูงสุดที่ 2.5 กิโลเมตร สามารถเชื่อมต่อ ภายใน Segment เดียวกัน ได้ถึง 500 เมตร ด้วยอัตราการส่งข้อมูล 10 Mbps. และสามารถเชื่อมต่อ สถานี (Stations) ได้ถึง 1,024 สถานีในทฤษฎีของ CSMA/CD access สามารถที่จะใช้ broadcast multi-access channel ได้ และรวมถึง ตัวกลาง สายเกลียวคู่, สายโคแอกเชียล , สัญญาณวิทยุ หรือแม้กระทั่งสายใยแก้วนำแสง ได้ อย่างไรก็ตาม Ethernet ได้ถูกออกแบบมาสำหรับ Baseband Transmission โดยใช้ สายโคแอกเชียล ซึ่งได้แสดงถึง รูปแบบและ การออกแบบ
- สถานี (station)
      จะเป็นชนิดของคอมพิวเตอร์หรือเป็นกลุ่มของ terminal
-ส่วนควบคุม (controller)
      จะเป็นกลุ่มของ function และ algorithms ที่ต้องการ ซึ่งจะจัดการรับ network จะรวมถึงการเข้ารหัส และการถอดรหัส, การแปลงข้อมูล serial เป็น parallel, Address Detection และการบัฟเฟอร์ โดยส่วนควบคุมจะมีหน้าที่ที่สามารถรวมไปถึง Hardware, Software และ Micromode ซึ่งขึ้นอยู่กับสถานีนั้น ๆ โดยส่วนมาก และ Ethernet Controllers จะถูกออกแบบมาบน Single Chip

- ส่วนรับ-ส่ง (transmission system)
       จะรวมไปถึงส่วนประกอบที่สำคัญ สำหรับการติดต่อสื่อสารระหว่าง ส่วนควบคุม และรวมไปถึง Transmission Medium ก็คือ Transceivers และ Repeaters ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญ ในการ ขยายระยะการติดต่อสื่อสารออกไป จะใช้สายโคแอกเชียล เป็นตัวกลาง ประกอบไปด้วยสายสัญญาณและส่วนประกอบของ Hardware ที่สำคัญ เช่น Connectors, Terminators และ Taps ซึ่งตัว Terminator จะเป็นตัวที่ป้องกันสัญญาณที่ส่งออกไปไม่ให้กลับมายัง Bus อีก โดยใช้วิธีการ Matching Impedance ของ เคเบิลตัว Transceivers จะมีหน้าที่รับและส่งสัญญาณไปยังเคเบิล และยังต้องรับรู้ถึงหน้าที่ของ CSMA/CD เอาไว้ด้วย ซึ่งตัว Transceivers จะต้องคอยตรวจจับสัญญาณบนเคเบิลก่อนที่จะส่งสัญญาณออกไป และ ในขณะที่ ส่งเองก็ต้องคอยตรวจจับสัญญาณอื่น ๆ บนสายเคเบิลด้วย ตัว Repeater จะประกอบไปด้วยตัว Transceiver 2 ตัว ซึ่งใช้เชื่อมต่อเข้ากับ Ethernet Segment ตัว Repeater จะมีหน้าที่เพียงการส่งผ่านสัญญาณไปยัง Ethernet Segment เท่านั้น โดยจะไม่มีหน้าที่ในส่วน ของการรับรู้ CSMA/CD
เครือข่ายอีเธอร์เน็ตแบบบัส ( 10Base2)
       เครือข่ายอีเธอร์เน็ตแบบบัสมีชื่อเรียกกันไปหลาย ๆ อย่าง เช่น 10Base2, Thinnet, CheaperNet หรืออะไรก็ตาม แต่เรียกง่าย ๆ ว่าระบบ LAN แบบบัส คือระบบ LAN แบบอีเธอร์เน็ตที่ไม่ต้องมี Hub/Switch โดยสายที่ใช้จะต้องเป็นสายที่เรียกว่า “ โคแอกเชียล ” (Coaxial) และ “ การ์ด LAN” ที่ใช้จะต้องเป็นแบบ BNC ซึ่งจะทำความเร็วได้สูงสุด 10 Mbps
เครือข่ายอีเธอร์เน็ตแบบสตาร์ ( 10BaseT/100BaseT)
       เครือข่ายอีเธอร์เน็ตแบบสตาร์หรือมีชื่อทางเทคนิคว่า 10BaseT ซึ่งต่อไปจะเรียกง่าย ๆ ว่าระบบ LAN แบบสตาร์ จะใช้อุปกรณ์ประเภท Hub หรือ Switch เป็นศูนย์กลางในการเชื่อมต่อโดยจะต้องใช้สาย UTP (CAT5) ต่อระหว่างการ์ด LAN ของเครื่องพีซีแต่ละเครื่องมาที่พอร์ตของ Hub หรือ Switch เครือข่ายแบบนี้นิยมใช้ในบริษัทหรือตามร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ทั่ว ๆไป ถ้าจะนำมาใช้ในบ้านก็ไม่ผิด เนื่องจากราคาอุปกรณ์ไม่ว่าจะเป็น Hub หรือ Switch การ์ด LAN และสาย UTP (CAT5) ในปัจจุบันค่อนข้างถูกในขณะที่ความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงมากถึง 100 Mbps ( จริง ๆ ปัจจุบันได้ถึง 1000 Mbps แต่อุปกรณ์ยังมีราคาแพงอยู่) ซึ่งเพียงพอต่อการเล่นเกมผ่านระบบ LAN ได้อย่างสบาย วิธีนี้พวกร้านอินเตอร์เน็ตคาเฟ่นำไปใช้เป็นสูตรสำเร็จในการสร้างระบบ LAN ภายในร้านกันถ้วนหน้า
2.  Internet

 อินเตอร์เน็ต (Internet)

           อินเตอร์เน็ตเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกันทั่วโลก โดยมีมาตรฐานการรับส่งข้อมูลระหว่างกันเป็นหนึ่งเดียวซึ่งคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะสามารถรับส่งข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ตัวอักษร , ภาพและเสียงได้ รวมทั้งสามารถค้นหาข้อมูลจากที่ต่าง ๆ ได้รวดเร็ว
          อินเตอร์เน็ตประกอบด้วยองค์ประกอบ 2 ส่วน ส่วนที่เป็นเครือข่ายที่เชื่อมคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน และส่วนที่ที่เป็นข้อมูลที่คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องเก็บรวบรวมไว้ พร้อมกับมีความสามารถที่ช่วยให้เราค้นหาข้อมูลได้ในเวลาอันสั้น

คำศัพท์ต่างๆ ที่ควรรู้เกี่ยวกับอินเตอร์เน็ต
@ World Wide Web (WWW)
World Wide Web (WWW) หรือเรียกสั้นๆ ว่า Web เป็นบริการหนึ่งในอินเตอร์เน็ตให้บริการข้อมูล ที่ประกอบด้วย ภาพ ตัวอักษร และเสียง ถือได้ว่า World Wide Web เป็นแหล่งบริการข้อมูลขนาดใหญ่ เหมือนเครือข่ายใยแมงมุม
@ เว็บไซต์ (Web Site)
คือ แหล่งที่เก็บรวบรวมข้อมูลเอกสารและสื่อประสมต่างๆ (รูปภาพ,เสียง,ข้อความ) ของแต่ละบริษัทหน่วยงาน หรือบุคคลโดยเรียกเอกสารต่างๆ เหล่านั้นว่า Web Page และเรียก WebPage หน้าแรกของแต่ละ Web site ว่า Home Page ซึ่งเจ้าของจะเป็นผู้ดูแลรักษาและปรับปรุงข้อมูลเองโดยเจ้าของเว็บไซต์ดังกล่าวอาจจะเป็นองค์กรของรัฐหรือเอกชน หรือเว็บไซต์ส่วนบุคคลก็ได้
@ เว็บเพจ (Web Page)
คือ เอกสารแต่ละหน้าที่เราเปิดดูใน Web Page ซึ่งถูกสร้างขึ้นมาจากภาษา HTML ซึ่งเป็นภาษาที่กำหนดรูปแบบและหน้าตาของเว็บเพจ โดยเว็บเพจจะมีการเชื่อมโยงไปยังเว็บเพจอื่นได้ ทำให้การค้นหาข้อมูลทำได้โดยง่าย และยังสามารถเผยแพร่ข้อมูลไปทั้วโลกได้ทันทีในราคาถูกและรวดเร็ว

@ โฮมเพจ (Home Page)
คือ หน้าหลักของเว็บเพจทั้งหมดซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นหน้าแรกของเว็บไซต์นั้นๆ เพื่อให้ผู้เข้ามาเยี่ยมชมได้พบเห็นก่อนหน้าอื่นๆ ตัวอย่างเช่น หน้าโฮมเพจของบริษัทซอฟต์แวร์ปาร์ค จำกัด เป็นต้น
@ ลิงค์ (Link)
เอกสารของทุกเว็บเพจจะเป็นเอกสารแบบไฮเปอร์เท็กซ์ หมายความว่าภายในเอกสารแบบไฮเปอร์เท็กซ์ (hypertext)นี้จะเป็นข้อความที่สามารถเชื่อมโยงไปยังรายละเอียดของข้อมูลนั้น โดยข้อมูลที่เชื่อมโยงไปอาจจะอยู่ในเว็บเพจหน้าเดียวกันหรือ ต่างหน้าก็ได้หรืออาจจะอยู่ภายในคอมพิวเตอร์เครื่องเดียวกัน หรืออยู่กันคนละเครื่องแต่อยู่ภานในเครือข่ายเดียวกันก็ได้ โดยไม่คำนึงถึงว่าจะอยู่ไกลกันคนละจังหวัดหรืออยู่กันคนละประเทศ ข้อความที่เป็นส่วนของการเชื่อมโยง (link) จะเป็นข้อความที่ถูกเน้นภายในเว็บไซต์นั้น (ซึ่งโดยมากจะเป็ฯการขีดเส้นใต้) จะให้คุณสามารถท่องไปยังเว็บเพจหน้าต่างๆบนอินเตอร์เน็ตได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่คลิกเมาส์ที่ข้อความดังกล่าวนั้น การเชื่อมโยง (link) อาจอยู่ในรูปของปุ่ม ภาพหรือข้อความ โดยเมื่อเราเลื่อนเมาส์ไปเหนือลิงค์ (link) รูปเมาส์จะเปลี่ยนจากรูปลูกศรเป็นรูปมือ

โปรโตคอล(Protocol)
                    เป็นการกำหนดข้อตกลงในการสื่อสารเพื่อให้คอมพิวเตอร์แต่ละชนิดสามารถติดต่อสื่อสารกันได้
                    เป็นกลุ่มของกฏหรือกติกาที่มีการบัญญัติขึ้นสำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันระหว่างตัวส่งและตัวรับ เพื่อให้ตัวส่งและ      ตัวรับใช้กติกานี้ร่วมกัน ทำให้การสื่อสารเป็นไปได้อย่างถูกต้องและมีระเบียบ
                    โปรโตคอลมาตรฐานที่ใช้ในการสื่อสารบนอินเทอร์เน็ต มีชื่อเรียกว่า TCP/IP(Transmission Control Protocol/Internet Protocol)
                    ถ้าเราเปรียบให้โปรโตคอลเหมือนภาษาที่ใช้ในการสื่อสารของมนุษย์ ซึ่งมีมากมายหลายภาษา เช่นเดียวกับโปรโตคอลมีหลายแบบเช่นกัน TCP/IP เปรียบได้กับภาษาอังกฤษ เนื่องจากเป็นโปรโตคอลที่เครื่องคอมพิวเตอร์ของทุกระบบเข้าใจและมีการใช้โปรโตคอลนี้ร่วมกันเพื่อการเชื่อมต่อเข้าสู่โลกอินเทอร์เน็ต
ตัวอย่างของโปรโตคอล
                    TCP/IP(Transmission Control Protocol/Internet Protocol)
                    FTP(File Transfer Protocol)
                    HTTP(Hypertext Transfer Protocol)

IP Address
                    เป็นหมายเลขประจำตัวของเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่มีการเชื่อมต่อกับระบบเครือข่าย
                    ประกอบด้วยตัวเลข 4 ชุดที่คั่นกันด้วยเครื่องหมายจุด(.) เช่น 202.28.94.6
                    ตัวเลขในแต่ละชุดจะมีขนาด 8 บิต แต่ละชุดจึงมีค่าตัวเลขได้ตั้งแต่ 0 ถึง 28-1 = 255 เท่านั้น
                    โฮสต์คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องต้องขอหมายเลข IP นี้จากหน่วยงาน Internet Network Information Center(InterNIC) ขององค์กร Network Solution Incorporated(NSI) สหรัฐอเมริกา
                    ผู้ใช้ธรรมดาทั่วไปสามารถสมัครเป็นสมาชิกกับหน่วยงานที่ให้บริการอินเทอร์เน็ต(Internet Service Provider หรือ ISP) เพื่อรับหมายเลข IP จาก ISP ได้

DNS(Domain Name System)
                    เป็นเทคนิคการเปลี่ยนหมายเลข IP ที่เป็นตัวเลขให้เป็นตัวอักษรแทน เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ
                    ตัวอย่างของ DNS เช่น
            DNS                            IP Address       
                                     --->
                    รูปแบบของ DNS
                    ชื่อโดเมนระดับบน จะแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทคือ
1. ชื่อโดเมนที่เป็นชื่อย่อของประเภทขององค์กรในสหรัฐอเมริกา เช่น
com(commercial)         กลุ่มองค์กรเอกชน
edu(educational)                     กลุ่มสถาบันการศึกษา
gov(governmental)      กลุ่มองค์กรของรัฐทั่วไป
mil(military)                กลุ่มองค์กรทหาร
net - (network services) กลุ่มองค์กรบริหารเครือข่าย
org - (non-commercial organization) กลุ่มองค์กรไม่แสวงหากำไร

E-mail Address
                    เป็นที่อยู่จดหมายอิเล็กทรอนิกส์หรือที่อยู่อีเมล์ เพื่อให้ผู้ใช้งานในอินเทอร์เน็ตสามารถรับส่งจดหมายผ่านทางคอมพิวเตอร์ได้

URL (Uniform Resource Locator)
                    เป็นที่อยู่ของเว็บไซต์ที่ผู้ใช้บริการจะเข้าไปเรียกดูข้อมูล
                    ชื่อโดเมนยังสามารถนำมาเป็นส่วนหนึ่งของ URL ได้
                    รูปแบบมีดังต่อไปนี้
โปรโตคอล://ชื่อโดเมน/ชื่อไดเรกทอรี่ที่เก็บไฟล์ในโฮสต์/ชื่อไฟล์ในโฮสต์
ตัวอย่างของโปรโตคอลที่ใช้เรียกบริการในอินเทอร์เน็ต เช่น http:// หมายถึงโปรโตคอลที่เรียกใช้บริการ WWW    
              ที่มีข้อมูลเป็น Hypertext 
  ftp://    หมายถึงโปรโตคอลที่เรียกใช้บริการ FTP

 3.  Exteanet

        Extranet คือ อินทราเน็ตที่เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายทั่วโลกด้วยสายโทรศัพท์หรือวงจรเช่าต่างๆ แต่ทำงานด้วยมาตรฐานกลาง TCP/IP เช่นเดียวกับอินเตอร์เน็ตหรือสามารถกล่าวได้ว่าเป็นเครือข่ายอินเตอร์เน็ตที่มีความปลอดภัยสูง

ลักษณะที่สำคัญของ Extranet
  1. Extranet ใช้มาตรฐานเดียวกับอินเตอร์เน็ต คือใช้โปรโตคอล TCP/IP
  2. เป็นเครือข่ายที่เชื่อมโยงกันระหว่างบริษัท ลูกค้า และบริษัทอื่นๆ ที่มีจุดมุ่งหมาย เดียวกัน
  3. มีลักษณะคล้ายกับอินเตอร์เน็ตที่มีการเปิดออกสู่โลกภายนอกมากขึ้น คล้ายกับอินเตอร์เน็ตมีผู้ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้น หรืออีกนัยหนึ่งจะสามารถมองว่าเป็นอินเตอร์เน็ตที่มีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีขึ้นก็ได้

ประโยชน์ของ Extranet
  1. ช่วยให้การทำธุรกิจผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์เป็นไปอย่างรวดเร็วและมี ประสิทธิภาพ เพราะสามารถติดต่อกับสมาชิกเครือข่ายได้หลายรูปแบบ ทั้งการโต้ตอบ การข่าวสาร หรือการส่งโทรสาร
  2. ทำให้ธุรกิจสามารถบริหารสินค้าคงคลังได้ดีขึ้น เนื่องจากมีการเชื่อมต่อเครือข่ายของบริษัทเข้ากับบริษัทคู่ค้า หรือบริษัทขายสินค้าโดยตรง เช่น ผู้ค้าปลีกที่มีการติดต่อกับผู้ค้าส่งย่อมมีการตรวจสอบอยู่ตลอดเวลาว่า สินค้าตัวไหนขายดี เป็นการตัดปัญหาเรื่องสินค้าขายตลาดไปได้
  3. ช่วยรักษาความสัมพันธ์ในแบบตัวต่อตัวกับลูกค้า โดยจะลดเวลาและต้นทุนที่ใช้ในกระบวนการติดต่อลูกค้าหรือให้บริการลูกค้าลดลง ตัวอย่างเช่น บริษัทสามารถเสนอข้อมูลที่ เกี่ยวกับตัวสินค้าและบริการไปยังลูกค้าได้ง่ายขึ้น
  4. สามารถสร้างกลุ่มข่าวสารส่วนบุคคล (Private Newsgroup) ที่เป็นแหล่งที่ให้ธุรกิจที่รวมกลุ่มกันนั้นแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์ต่างๆร่วมกัน
  5. สามารถจัดฝึกอบรมให้แก่พนักงานร่วมกันภายในกลุ่มโดยผ่านทาง Extranet
  6. สามารถให้บริการหรือขายสินค้าเฉพาะลูกค้าที่เป็นสมาชิกเท่านั้น

การติดตั้งระบบ
          คุณสมบัติของระบบที่จะนำมาพิจารณาว่าระบบมีขีดความสามารถพอสำหรับการนำมาใช้หรือไม่ อาจจะแบ่งเป็น สองส่วน คือ ส่วนการจัดการระบบ และส่วนของโปรแกรมใช้งานส่วนจัดการระบบ คือ คุณสมบัติพื้นฐานของระบบ เช่น ความปลอดภัยของข้อมูลที่มีการติดต่อสื่อสารภายในระบบ องค์กรต่างๆ ย่อมไม่ต้องการให้ข้อมูลที่แลกเปลี่ยนระหว่างกันตกไปถึงมือของคนอื่น มีการตรวจสอบผู้ใช้ของระบบ และควบคุมการใช้งานในระดับต่างๆ ได้ดี รวมทั้งสามารถรองรับการใช้งานพร้อมกันจำนวนมาก
ส่วนโปรแกรมของระบบก็เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากเป็นสิ่งที่ระบบใช้ในการพูดคุย การ แลกเปลี่ยนข้อมูล การติดต่อซื้อขาย การค้นหาข้อมูล และการจัดการทางธุรกิจทั้งหลายนอกจากความสามารถในการทำงานแล้ว สิ่งที่จะมองข้ามไม่ได้เลย ก็คือ ความสามารถในการสื่อความเข้าใจกับผู้ใช้ระบบ ไม่ว่าจะเป็นโปรแกรมจัดการระบบหรือโปรแกรมใช้งานอะไร ก็ตาม ถ้าผู้ใช้ไม่สามารถที่จะเรียนรู้วิธีการใช้งานได้แล้ว ก็มีทางที่โปรแกรมนั้นจะไม่ได้รับความสนใจ หรือถ้าจำเป็นต้องใช้ก็อาจจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นได้





ใบงานที่ 3 การเข้าหัว RJ 45

การเข้าหัว RJ 45 แบบสายตรง
วิธีการเข้าหัวสายแลน ( RJ-45 )
การเข้าแบบสายตรง  เป็นการเชื่อมต่อแบบต่างอุปกรณ์ เช่น การใช้สายต่อกันระหว่าง คอมพิวเตอร์ กับ Switch หรือ HUB
- ปลายสายด้านที่ 1
1. ขาวส้ม
2. ส้ม
3. ขาวเขียว
4. น้ำเงิน
5. ขาวน้ำเงิน
6. เขียว
7. ขาวน้ำตาล
8. น้ำตาล
- ปลายสายด้านที่ 2
1. ขาวส้ม
2. ส้ม
3. ขาวเขียว
4. น้ำเงิน
5. ขาวน้ำเงิน
6. เขียว
7. ขาวน้ำตาล
8. น้ำตาล

วิธีการเข้าหัวสายแลน ( RJ-45 ) แบบสายตรง  

วิธีการเข้าหัวสายแลน
1. สาย CAT5 (สายแลน) ตามความยาวที่ต้องการ แต่ไม่ควรเกิน 100 m.

2. คริมเข้าหัว RJ-45

3. หัว RJ-45 ใช้สองหัว ต่อหนึ่งเส้น


ต่อไปมาดูวิธีการเข้าหัวกัน
1. ปลอกเปลือกนอกของสาย CAT5 ออก โดยห่างจากปลายสายประมาณ 2-3 cm.
ใช้คัตเตอร์หรือมีดปลอกเปลือกที่มากับคริม

ระวังอย่าให้สายข้างในขาด สายภายในจะเป็นเกรียวกันเป็นคู่ สี่คู่ สี่สี

2. คลายเกรียวออกทั้งหมด

3. จับเลียงลำดับสายใหม่ดังนี้
หากต้องการทำสายตรง (ใช้สำหรับเครื่องคอมไป Hub)  ให้เรียงสีดังนี้ทั้งสองข้าง
ขาวส้ม ส้ม ขาวเขียว ฟ้า ขาวฟ้า เขียว ขาวน้ำตาล น้ำตาล


ส่วนสายครอส ให้เรียงตามนี้ข้างหนึ่ง (สำหรับต่อคอมกับคอม) ขาวเขียว ส้ม ขาวส้ม ฟ้า ขาวฟ้า เขียว ขาวน้ำตาล น้ำตาล
และอีกข้างหนึ่งขาวส้ม เขียว ขาวเขียว ฟ้า ขาวฟ้า ส้ม ขาวน้ำตาล น้ำตาล

4. หลังจากเรียงสายเรียบร้อยแล้ว จับสายที่เรียงให้แน่น อย่าให้สลับ
แล้วสอดเข้าหัว RJ-45 ให้สุดปลอก



ดูว่าสายทุกสีเข้าจนสุดปลอกแล้ว


5. นำสายพร้อมปลอกเข้าคริมแล้วบีบสุดแรงเกิด
    

การเข้าหัว RJ 45 แบบสายไขว้

มาตรฐาน EIA/TIA 568
            EIA/TIA 568 เป็นมาตรฐานที่กำหนดขึ้นโดยความร่วมมือของ 3 องค์กร ได้แก่ สำนักงานมาตรฐานแห่งสหรัฐอเมริกา ( American National Standards Institute : ANSI ) , สมาคม อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ( Electronic Industries Association : EIA ) และสมาคม อุตสาหกรรมโทรคมนาคม ( Telecommunications Industry Association : TIA ) โดยใช้ชื่อ มาตรฐานว่า “EIA/TIA 568” ใช้ในการเข้าหัว RJ-45 และสาย UTP
เครื่องมือและอุปกรณ์ที่ต้องใช้

1. สาย CAT5 (สายแลน) ตามความยาวที่ต้องการ แต่ไม่ควรเกิน 100 m.
             
2. คีมเข้าหัว RJ-45
            
3. หัว RJ-45 ใช้สองหัว ต่อหนึ่งเส้น
            

วิธีการเข้าหัวกัน1. ปลอกเปลือกนอกของสาย CAT5 ออก โดยห่างจากปลายสายประมาณ 2-3 cm.
ใช้คัตเตอร์หรือมีดปลอกเปลือกที่มากับคีม
            
ระวังอย่าให้สายข้างในขาด สายภายในจะเป็นเกรียวกันเป็นคู่ สี่คู่ สี่สี
            
2. คลายเกรียวออกทั้งหมด
            
3. จับเลียงลำดับสายใหม่ดังนี้
สายครอส ให้เรียงตามนี้ข้างหนึ่ง (สำหรับต่อคอมกับคอม)
ขาวเขียว ส้ม ขาวส้ม ฟ้า ขาวฟ้า เขียว ขาวน้ำตาล น้ำตาล
และอีกข้างหนึ่ง
ขาวส้ม เขียว ขาวเขียว ฟ้า ขาวฟ้า ส้ม ขาวน้ำตาล น้ำตาล
4. หลังจากเรียงสายเรียบร้อยแล้ว จับสายที่เรียงให้แน่น อย่าให้สลับ
แล้วสอดเข้าหัว RJ-45 ให้สุดปลอก

             

ดูว่าสายทุกสีเข้าจนสุดปลอกแล้ว
             

5. นำสายพร้อมปลอกเข้าคีมแล้วบีบสุดแรงเกิด